การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง

ด้วยความที่ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีการสอบวัดระดับทางภาษา เพื่อให้เราทราบถึงระดับความสามารถทางการใช้ภาษาอังกฤษของตัวเองอย่างแท้จริง และเพื่อให้ได้ใบรับรองทักษะการใช้ภาษาตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการสมัครงานและการทำงานหรือการเรียนต่อในต่างประเทศ ในประเทศไทยมีการสอบวัดระดับทางภาษาอังกฤษที่เป็นมาตรฐานอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทนั้นมีจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ในการสอบแตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
 
 
TOEIC
TOEIC ย่อมาจาก Test of English for International Communication เป็นการสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ต้องการสมัครงาน ที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า โทอิก 
 
การทดสอบนี้จะเน้นการฟังและการอ่านเป็นหลัก ใช้การทำข้อสอบแบบปรนัย คือเลือกคำตอบ โดยแบ่งเป็น ส่วนของการฟัง 100 ข้อ คะแนนรวม 495 คะแนน และ ส่วนของการอ่าน 100 ข้อ คะแนนรวม 495 คะแนน รวมจำนวนข้อสอบทั้งสิ้น 200 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน แต่ปัจจุบันนี้ได้แบ่งออกเป็น TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน) และ TOEIC Speaking and Writing Tests (การพูดและการฟัง) 
 
TOEIC นั้นเหมาะสำหรับใช้สำหรับยื่นร่วมกับใบสมัครงานในบริษัท ซึ่งจะมีการกำหนดฐานคะแนนที่ผู้สมัครต้องทำได้ เช่น ตำแหน่งนี้ต้องการคะแนน TOEIC ไม่ต่ำกว่า 460 คะแนน เป็นต้น
 
 
TOEFL
TOEFL ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language เป็นแบบทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า โทเฟิล หรือ โทเฟล ซึ่งเป็นการสอบภาษาอังกฤษเชิงวิชาการที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดทั่วโลก 
 
การทดสอบ TOEFL จะครอบคลุมทักษะ 4 ทักษะคือฟัง พูด อ่าน และเขียน ซึ่งแต่ละทักษะจะมีคะแนนให้ 30 คะแนนรวมทั้งหมดเป็น 120 คะแนน และคะแนนมีอายุสองปี จึงควรสอบเมื่อจำเป็นต้องใช้น่าจะดีที่สุด 
 
TOEFL เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในต่างประเทศ เพราะได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลก
 
 
IELTS
IELTS ย่อมาจาก International English Language Testing System เป็นการวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษสำหรับผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่สนใจไปเรียนต่อต่างประเทศหรือต้องไปทำงานต่างประเทศ นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ไอเอลส์ 
 
การสอบ IELTS นั้นจะครอบคลุมทั้งทักษะ 4 ทักษะ คือฟัง พูด อ่าน และเขียน แต่จะเอาคะแนนมาจัดระดับความสามารถทางภาษาซึ่งมีทั้งหมด 9 ระดับ ได้แก่
 
ระดับ 1 ใช้ภาษาไม่ได้เลย  
 
ระดับ 2 ไม่สามารถสื่อสารคำศัพท์ขั้นพื้นฐานได้  
 
ระดับ 3 มีความสามารถในการใช้ภาษาที่จำกัดมาก  
 
ระดับ 4 มีความสามารถในการสื่อสารจำกัด  
 
ระดับ 5 สามารถใช้ภาษาในระดับปานกลาง  
 
ระดับ 6 มีความสามารถในระดับใช้งานได้  
 
ระดับ 7 มีความสามารถในการใช้ภาษาดี  
 
ระดับ 8 มีความสามารถในการใช้ภาษาดีมาก  
 
ระดับ 9 มีความสามารถในการใช้ภาษาดีเลิศ
 
IELTS เป็นการสอบที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในยุโรป มหาวิทยาลัยในบางประเทศอย่างสหราชอาณาจักร มักสนใจบุคคลที่มีคะแนนการสอบ IELTS มากกว่า จึงทำให้การสอบ IELTS
 
เหมาะสมอย่างมากสำหรับใช้ในการศึกษาต่อและทำงานในบริษัทฝั่งยุโรป โดยผลการสอบนั้นมีอายุ 2 ปี เช่นเดียวกับการสอบ TOEFL
 
OPI และ OPIC
OPI ย่อมาจากคำว่า Oral Proficiency Interview ส่วน OPIC นั้นย่อมาจากคำว่า Oral Proficiency Interview computer ซึ่งการสอบทั้งสองอย่างนี้เป็นการสอบวัดระดับความสามารถเฉพาะด้านการพูดภาษาอังกฤษ  โดยส่วนมากจะนำผลคะแนนมาใช้ในด้านธุรกิจ การทำงานในต่างประเทศ หรือแม้แต่การเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และเพื่อใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ระดับความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษของตัวเอง
 
การสอบ OPI นั้น จะเป็นการสนทนากับผู้ดำเนินการสอบในห้อง แต่สำหรับการสอบ OPIC ผู้เข้าสอบจะทำการสอบออนไลน์ด้วยการตอบคำถามผ่านคอมพิวเตอร์ จึงทำให้การสอบแบบ OPIC นั้นมีค่าบริการที่ถูกกว่าเพราะผู้สอบไม่จำเป็นต้องเดินทางมาสอบและสามารถดำเนินการสอบผ่านระบบออนไลน์ได้
 
การสอบ OPI และ OPIC นั้นจะได้รับการประเมินและให้คะแนนโดย ACTFL ซึ่งมีเกณฑ์พิจารณา 4 เกณฑ์ ได้แก่ Global Task and Functions หรือ หน้าที่และบทบาทที่เป็นสากล โดยจะโฟกัสในเรื่องของทักษะ Delivery Skill ความคล่องแคล่วและความสม่ำเสมอ  Context / Content คือ บริบทและส่วนของเนื้อหา ดูจากทักษะการใช้คำเชื่อมโยงกันและการแสดงความคิดเห็น  Accuracy คือ ความแม่นยำในการใช้ภาษา และText Type หรือ ชนิดของคำ อิงจากความยาวของคำและโครงสร้างประโยคที่ใช้
 
ในปัจจุบัน บริษัทใหญ่ในประเทศเกาหลี อย่าง SAMSUNG LG และ HSBC ต่าง ๆ ต้องการผลสอบ OPI และ OPIC จากผู้สมัคร เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ทำให้การสอบ OPI และ OPIC นั้นจึงมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่สนใจไปทำงานในประเทศดังกล่าว
 
 
Cambridge Exams
การสอบ Cambridge English จะแตกต่างจาการสอบอื่น ๆ เพราะเป็นการสอบแบบ ‘ผ่านหรือไม่ผ่าน’ ดังนั้นผู้สอบจึงจำเป็นต้องเลือกระดับการสอบที่เหมาะกับตัวเอง โดยมีการจำแนกระดับของเป็น 4 ระดับ ดังต่อไปนี้:
 
PET – Cambridge English: Preliminary คือระดับแรก ที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษอยู่ในระดับที่สามารถสื่อสารและพูดคุยในเรื่องทั่วๆไปได้
 
FCE – Cambridge English: First ระดับนี้แสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษของคุณดีในระดับที่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้และสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่อง
 
CAE – Cambridge English: Advanced ระดับก้าวหน้าขั้นสูง ซึ่งผู้สอบจะต้องมีทักษะด้านการเขียนและการพูดที่ดีมาก
 
CPE – Cambridge English: Proficiency ระดับใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา ซึ่งเป็นระดับการสอบที่สูงที่สุด
 
โดยผลการสอบ Cambridge นั้น จะไม่มีวันหมดอายุ ดังนั้นจึงเหมาะมากสำหรับการสอบเมื่อเรียนจบคอร์สภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการวัดผลที่ดี
 
ทั้งหมดนี้คือมาตรฐานการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับความนิยมในระดับสากลว่ามีความเที่ยงตรงมากที่สุด และสามารถนำไปใช้ในการสมัครเรียนหรือสมัครงานได้ ซึ่งนอกจากนี้ประเทศไทยยังมีการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศสำหรับผู้สนใจเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ อีกด้วยเช่น  CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency) สำหรับผู้สนใจที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์และยังเป็นการสอบวัดระดับที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศอีกด้วย หรือ TU-GET Thammasat University General English Test การสอบวัดระดับสำหรับผู้สนใจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น
 
 
การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษนั้น เราควรจะต้องทราบก่อนว่า เราจะนำผลสอบที่ได้นั้นไปใช้อะไรและมีความพร้อมในการสอบมากน้อยแค่ไหน เพราะแต่ละการสอบนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เราจึงต้องเตรียมตัวให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจมหาวิทยาลัยที่เราต้องการเข้าเรียน หรือบริษัทต่าง ๆ ที่เราสนใจจะสมัครงาน ว่าพวกเขารับรองการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษแบบใด และมีฐานคะแนนอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะวางแผนในการสอบและใช้ประโยชน์จากผลการสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

บทความอื่นๆ